ศิลปะของการปล่อยของ The Power of Output

Mar 20, 2021

ผมเป็นคนชอบรับข้อมูล ชอบอ่านหนังสือ ชอบดู Youtube ดูหนัง ฟัง podcast ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองว่าง จะต้องมีอะไรเอาเข้าหัวตลอด ไม่ใช่เพราะเป็นคนใฝ่รู้อะไรหรอก แต่เป็นคนชอบทำกิจกรรมคนเดียว (Introversion level 90) กิจกรรมพวกนี้ก็เลยเป็นความเอนจอยของชีวิตอยู่แล้ว แต่น่าเสียดาย ข้อมูลพวกนี้ไม่ค่อยได้เอาไปใช้ทำอะไรสักเท่าไหร่ หลาย ๆ อย่างก็ลืมไปแทบจะทันที

someone-is-reading

หนังสือ The Power of Output บอกว่ากิจกรรมด้านบนของผมถือเป็นการทำ input การทำ input ที่ไม่มี output ถือว่าไร้ประโยชน์ โอ้โห แค่นี้ก็โดนใจแล้ว ชีวิตที่ผ่านมาทำมี input แต่มันสูญหายไปจริง ๆ อย่างที่ว่า ครึ่งแรกของหนังสือจะแนะนำการทำ output แบบการพูดและแสดงออกอย่างไร ให้มีประสิทธิภาพ สิ่งที่ผมสนใจจริง ๆ คือครึ่งหลังที่เกี่ยวกับการเขียนต่าง ๆ เช่น การทำ presentation การเขียนรีวิวหนังสือ หรือการเขียนบันทึกประจำวัน ซึ่งผมสามารถนำไปใช้ควบคู่กับ BuJo ที่ผมเพิ่งอ่านจบไปก่อนหน้าได้ด้วย เช่น framework การเขียนรีวิวหนังสือแบบง่าย ๆ หรือการเขียนเรื่องเกี่ยวกับเรื่องที่เราชอบ และงานอดิแรก

หลังจากนี้ไป ทุก ๆ input ผมจะมีการคิดตามหลักนี้ จะพยายามหาแง่มุมที่นำมาทำ output ต่อได้ แต่ก็จะไม่เครียดกับมันจนเกินไป หากคิดไม่ออกจริง ๆ ก็จะไม่ไปบีบคั้นตัวเองมากนัก เน้นไปที่ความสนุกมากกว่า


บันทึกจากการอ่าน The Power of Output

11 output เปลี่ยนแปลงโลกในความเป็นจริง

  • 28 ให้เวลากับ output เป็น 2 เท่าของ input

การพูด

45 การพูดในแง่บวก จะส่งผลให้ทีมทำงานได้ดีขึ้น
46 การพูดว่าร้ายคนอื่นจะส่งผลในแง่ลบ

  • เพิ่มความเครียด เสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมมากกว่าคนที่ไม่ค่อยนินทาผู้อื่นถึง 3 เท่า
  • หากไม่ชอบใครแล้วพูดออกมาถือเป็นการสร้าง output แบบหนึ่ง จะทำให้สมองยิ่งจำความไม่ชอบนั้นมากยยิ่งขึ้นไปอีก
  • และเป็นการฝึกให้ตัวเองจับผิดคนอื่นเก่งขึ้น

50 พูดอย่างไร (น้ำเสียง, มารยาท หรือสีหน้า) สำคัญกว่าพูดว่าอะไร เวลาพูดหรือฟังควรมองตา

58 การให้ negative feedback

  • No but, yes but, yes and, and yes how.
  • Yes and คือ การชม และแนะนำ improvement
  • Yes how คือ การชม และแนะให้คนฟังคิดเองว่าจะพัฒนาตัวเองได้อย่างไร

60 ทักทายดีกว่าเมินเฉย

63 ชวนพูดคุยบ่อย ๆ จะทำให้เพิ่มความชื่นชอบ

70 ตั้งคำถามที่ทำให้อีกฝ่ายโดยคำนึงถึงสิ่งที่อีกฝ่ายอยากจะพูด

94 ชมในเรื่องที่อยากให้ทำ ดุในเรื่องที่ไม่อยากให้ทำ

  • 96 ชมให้เป็นรูปธรรม
  • 99 ชมแบบเขียน จะได้ผลดีกว่าเพราะคนถูกชมจะนำกลับมาอ่านซ้ำได้

119 ฝึกแนะนำตัวจะช่วยสร้างความประทับใจ

121 พูดถึง vision ของเราจะช่วยให้คนอื่นความรู้สึกร่วม

128 การขายคือการชวนให้เห็นคุณค่า

130 การขอบคุณจะหลั่งสารแห่งความสุข ทั้งผู้ให้และผู้รับ

การเขียน

147 การ doodle จะช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ

150 การเขียนช่วยทำรายการสิ่งที่อยู่ในสมอง (Like decluttering your mind in Bujo)

152 feedback จะช่วยพัฒนาการเขียน

155 ร่างเนื้อหาก่อนจะช่วยให้เขียนได้เร็วขึ้น

170 เขียน note สิ่งที่ค้นพบไว้ภมยใน 30 นาที

190 การทำ presentation: บทนำ -> พื้นฐาน -> เนื้อหาหลัก -> บทสรุป

198 ควรรวบรวมข้อมูลอ้างอิงเสมอ เผื่อไว้ใช้ได้ในอนาคต

201 ใช้ Google Books ค้นหาเนื้อหาในหนังสือได้

223 ส่งอีเมลตอบรับทันที เพื่อบอกคนส่งว่าเราได้อ่านแล้ว

227 ใช้ tools ที่ทำให้เราสนุกกับการเขียน เช่น ใช้ของดี

269 ทำ (output) ให้เสร็จแบบไม่ต้องหวังว่าคุณภาพจะได้ 100% แต่ให้คาดหวังแค่ 30% แล้วค่อย ๆ พัฒนาไปเรื่อย ๆ

270 ความเป็นผู้นำ ให้ใช้วิสัยทัศน์แทนเป้าหมาย จะทำให้คนอื่นคล้อยตามได้ง่ายกว่า

286 การออกกำลังกายจะช่วยพัฒนาสมองด้วย

291 การบริหารเวลา แบ่งเป็น session ละ 15 นาที

302 วิธีเขียนบันทึกประจำวัน เขียนเรื่องแง่บวก หรือเปลี่ยนเรื่องลบให้เป็นเรื่องบวก

308 จดบันทึกสุขภาพ เช่น น้ำหนัก ความรู้สึก หรือการนอน

311 การเขียนรีวิวหนังสือ: เขียน before -> (เรื่องที่ค้นพบ + to-do)

330 การเขียนเกี่ยวกับงานอดิเรก: ความรู้สึก -> ความคิดเห็น -> สิ่งที่ค้นพบ


🏷️#reading